ฺBann Top

d0bSwA8.jpeg

บทความทางกฎหมาย เรื่อง “ดุลพินิจกำหนดโทษเด็กและเยาวชน” * โดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์

 

“ดุลพินิจกำหนดโทษเด็กและเยาวชน”  ชื่อนี้ เป็นชื่อ “ การศึกษาอิสระ”หรือ IS หรือ Independent Study หรือ Baby Thesisที่ผู้เขียนได้นำเสนอ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตรปริญญานิติศาสตรมหาบัณฑิต ปีการศึกษา ๒๕๔๖

 

เหตุผลที่ศึกษาเรื่อง “ดุลพินิจกำหนดโทษเด็กและเยาวชน”

 

 เนื่องจาก ขณะนั้น (ปี ๒๕๔๕) ู้เขียนรับราชการเป็น “พนักงานอัยการ” สำนักงานอัยการคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการ เห็นว่า เด็กและเยาวชนกระทำผิดเพิ่มมากขึ้น และนับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น และมีพฤติการณ์ พฤติกรรมไม่แตกต่างจากผู้ใหญ่กระทำผิด เช่น ไปฆ่าเขาตาย หรือ ไปข่มขืนกระทำชำเรา รุมโทรมหญิง และยังพบว่า เด็กกลับมากระทำผิดซ้ำอีก หรือโทษที่กำหนดสำหรับเด็กและเยาวชนมันน้อยไป  หรือเบาไปหรือไม่เด็กจึงไม่กลัวการลงโทษ และศาลเยาวชนฯจะกำหนดโทษให้แก่เด็กและเยาวชนให้หนักกว่านี้ หรือจะลงโทษให้เหมือนผู้ใหญ่กระทำผิดเลยได้หรือไม่ เช่น ลงโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิตได้หรือไม่ ?  ต่หากไม่ได้ เหตุใดจึงทำไม่ได้ ศาลเยาวชนฯ           มีข้อห้าม หรือมีข้อจำกัดดุลพินิจในการกำหนดโทษเด็กและเยาวชน หรือไม่ อย่างไร ?

 

มาปี ๒๕๖๖ ต่อเนื่องปี ๒๕๖๗ ปรากฏข่าว เด็กและเยาวชนกระทำผิดคดีอาญาที่รุนแรงและอุจฉกรรจ์เพิ่มมากขึ้น เช่น เด็ก ๑๔ ปีก่อเหตุกราดยิงที่ห้างพารากอน ล่าสุดเด็กและเยาวชนที่จังหวัดสระแก้ว ก่อเหตุร่วมกันฆ่าผู้อื่น ( ป้าบัวผัน หรือป้ากบ ) อย่างโหดเหี้ยม และยังมีคดีอาญาอื่น เช่น ข่มขืนกระทำชำเรา , วางเพลิงเผาทรัพย์ , ขว้างปาระเบิดควัน ฯลฯ

แสดงว่า ปัญหาเด็กและเยาวชนกระทำผิดโดยเฉพาะคดีอาญามีมานานแล้ว และทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่เพิ่งจะมีตอนนี้

 

ทุกครั้งที่มีข่าว เด็กและเยาวชน ก่อเหตุคดีอาญาที่รุนแรง สังคมก็จะถามหา

“การแก้กฎหมายเพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับโทษเหมือนกับผู้ใหญ่ที่กระทำผิด โดยการลดอายุของเด็กและเยาวชนให้น้อยลงเพื่อให้เด็กได้รับโทษเพิ่มมากขึ้น

ล่าสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชารวบรวมสถิติตัวเลขคดีที่เด็กและเยาวชนกระทำผิดอาญา เพื่อนำเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ศาล อัยการ หน่วยงานสังกัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อพิจารณาและนำไปสู่การแก้กฎหมายต่อไป

ฉับพลัน ก็มี เอ็นจีโอ , นักสิทธิเด็กและสตรี  ออกมาแสดงความคิดเห็น ไม่เห็นด้วยกับการแก้กฎหมายเพื่อลดอายุเด็กและเยาวชนลง เพื่อให้ไปรับโทษเหมือนผู้ใหญ่ที่กระทำผิดต่อกฎหมายอาญา โดยอ้างอิง อนุสนธิสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ฯ , กฎแห่งกรุงปักกิ่ง ฯลฯ

 

จึงเป็นการ “มองคนละมุม” ระหว่าง สังคมที่ถามหาความรับผิดชอบของเด็กและเยาวชนรวมถึงพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็ก กับ นักสิทธิเด็กฯ” 

 

ศาลเยาวชนและครอบครัว มีข้อจำกัดดุลพินิจในการกำหนดโทษเด็กและเยาวชนหรือไม่ ?

 

การพิจารณาคดีอาญาเด็กและเยาวชนกระทำผิดนั้น นอกจากจะพิจารณาตาม โครงสร้างความรับผิดทางอาญา” ดังเช่นผู้ใหญ่กระทำผิดแล้ว ยังจะต้องพิจารณาถึง พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓ ซึ่งเป็นกฎหมายโดยเฉพาะอีกด้วย เช่น

(1) เด็ก” หมายความว่า บุคคลอายุยังไม่เกินสิบห้าปีบริบูรณ์

    “เยาวชน”หมายความว่ บุคคลอายุเกินสิบห้าปีบริบูรณ์แต่ยังไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์

 

(2) การพิจารณาคดีอาญาที่เด็กหรือเยาวชนเปนจําเลยไมองดําเนินการ ตามกฎหมายวาดวยวิธีพิจารณาความอาญาโดยเครงครัด (มาตรา๑๑๔)

 

(3) แม้จะได้ความว่า เด็กและเยาวชนกระทำผิดจริง แต่หากศาลเห็นว ตามพฤติการณแหงคดียังไมสมควรจะมีคําพิพากษา หรือบิดามารดาผูปกครองหรือบุคคลซึ่งจําเลยอาศัยอยูวยรองขอ และเมื่อศาลสอบถามผูเสียหายแล ศาลอาจมีคําสั่ง 

          ให “ปลอยตัวเด็กและเยาวชนชั่วคราว” (โดยยังไม่ต้องมีคำพิพากษา) โดยไมมีประกัน หรือ มีประกันหรือมีประกันและหลักประกันดวยก็ได แต่ต้องกําหนดเงื่อนไข ฯ เชใหจําเลยรายงานตัวตอพนักงานคุมประพฤติหรือเจาพนักงานอื่นเพื่อเขารับการแกไขบําบัดฟื้นฟู ภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด  แตองไมเกินกวาจําเลยนั้นมีอายุครบยี่สิบสี่ปบริบูรณ

      แต่ถ้าศาลเห็นว ยังไมสมควรปล่อยตัวชั่วคราวโดยมีเงื่อนไข” ศาลจะสงตัวจําเลยไปยัง สถานพินิจ หรือสถานที่อื่นฯ ก็ได แตองไมเกินกวจําเลยนั้นมีอายุครบยี่สิบสี่ปบริบูรณ ( มาตรา ๑๓๒ )

 

(4) ถ้า จําเลย สามารถ ปฏิบัติได้ตามเงื่อนไข และ ภายในระยะเวลาที่ศาลกําหนด ก็ใหศาล            “สั่งยุติคดี” โดยไมองมีคําพิพากษาเกี่ยวกับการกระทําความผิดของจําเลย 

        เวนแต คําสั่งเกี่ยวกับของกลาง และ ใหถือวาสิทธินําคดีอาญามาฟองเปนอันระงับ

แต่าจําเลยผิดเงื่อนไข ตามมาตรา๑๓๒ ก็ใหศาล “ยกคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาตอไป”           ( มาตรา๑๓๓

 

(5)   แม้ศาลจะได้มีคําพิพากษา หรือคําสั่งใหลงโทษ หรือใชวิธีการสําหรับเด็กและเยาวชนและ ไปแล้ แต่อมา ปรากฏว่าอเท็จจริงหรือพฤติการณ์ ตามมาตรา๑๑๕ หรือมาตรา๑๑๙ ไดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และาศาลเห็นสมควรก็ใหมีอํานาจแกไขเปลี่ยนแปลงคําพิพากษาหรือคําสั่งเกี่ยวกับการลงโทษหรือวิธีการสําหรับเด็กและเยาวชนได(มาตรา๑๓๗)

 

 กฎแห่งกรุงปักกิ่ง ค.ศ.๑๙๘๕ และ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.๑๙๘๙

 ที่มาของหลัก “ มุ่งแก้ไข มากกว่าการลงโทษ” 

 

“ กฎแห่งกรุงปักกิ่ง ค.ศ.๑๙๘๕” และ “อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.๑๙๘๙”ถือเป็นมาตรฐานขั้นต่ำขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการบริหารงานยุติธรรมสำหรับเด็ก โดยมีหลักการสำคัญ คือ คุ้มครองปกป้องสิทธิเด็กทั้งการถูกเอารัดเอาเปรียบทางเพศ การถูกทำร้ายร่างกาย การปกป้องคุ้มครองจากการทรมาน หรือการลงโทษ หรือการกระทำที่โหดร้าย  และเป็น “หน้าที่”ของรัฐที่จะต้องดำเนินมาตรการที่เหมาะสมต่างๆ เพื่อคุ้มครองสิทธิเด็กเพื่อให้บังเกิดผลตามอนุสัญญาฯดังกล่าว  ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันแก่อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.๑๙๘๙ จึงเป็นที่มาที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดเด็กในประเทศไทย “มุ่งคุ้มครองเด็กผู้กระทำผิด ( โดยลืมคุ้มครองผู้เสียหายที่ได้รับผลร้ายจากการกระทำของเด็กและเยาวชน)

ทางออกของเรื่องนี้ คือ “ การรักษาดุลยภาคระหว่าง การคุ้มครองเด็ก กับ  การแก้ไขเด็ก”

เมื่อปี ๒๕๔๕ ผู้เขียนได้นำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา (ข้อจำกัดของศาลในการใช้) “ ดุลพินิจในการกำหนดโทษเด็กและเยาวชน” (ศาลจะลงโทษเด็กที่กระทำผิดโหดร้าย โดยใช้มาตรการและบทลงโทษแบบผู้ใหญ่ได้หรือไม่)  

และในขณะเดียวกัน การลงโทษเด็ก จะต้องแก้ปัญหาเด็กได้ด้วย ดังนี้

 

(1.) เสนอให้นำเอา “กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ มาใช้กับการดำเนินคดีเด็กและเยาวชน โดยเปิดโอกาสให้ “เด็ก และเยาวชน”สามารถกำหนดโทษด้วยตนเอง โดยเริ่มจากการ “รู้สำนึกถึงการกระทำผิด” รับทราบความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของผู้เสียหาย และ ต้องมีการชดเชยเยียวยาผลร้ายแก่ผู้เสียหาย  หากเด็กรู้สำนึก ผู้เสียหายให้อภัย จากนั้นครอบครัวและชุมชนต้องเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหา ร่วมกำหนดแนวทางแก้ไข ในลักษณะสามประสาน คือ เด็กรู้สึกผิด ผู้เสียหายให้อภัย ครอบครัวชุมชนเข้ามาควบคุมกำหนดเงื่อนไขในการแก้ไขปรับปรุงพฤติกรรมและความประพฤติ” มีการเยียวยา และมีการ “สมานฉันท์” ความรู้สึกเจ็บปวด ความรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมของผู้เสียหายก็จะลดน้อยลง เกิดการอภัย เกิดการแก้ไข เกิดการร่วมมือของครอบครัว ชุมชนในการมาควบคุมดูแลไม่ให้เด็กและเยาวชนกลับไปกระทำผิดอีก เมื่อใช้หลัก กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์”แล้ว ศาลก็ไม่ถูกจำกัดการใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษ 
(2.) เสนอให้ออกกฎหมาย “พระราชบัญญัติฟื้นฟูเด็กและเยาวชน พ.ศ.........” โดยให้มี คณะกรรมการฟื้นฟูเด็กและเยาวชนกลาง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการตลอดจนนโยบายในการฟื้นฟูเด็กและเยานผู้กระทำผิด และมีคณะอนุกรรมการฟื้นฟูเด็กและเยาวชนจังหวัด โดยให้มีอำนาจและหน้าที่พิจารณาก่อนที่คดีจะเข้าสู่การพิจารณาคดีของศาลเยาวชนฯ 

          โดยคดีที่มีอัตราโทษ จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท (ยกเว้นคดียาเสพติด) ให้พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องให้ศาลเยาวชนฯ พิจารณาและมีคำสั่งให้ส่ง หรือไม่ส่งเด็กไปฟื้นฟู โดยการฟื้นฟูนี้ หากเด็กอยู่ในระหว่างการศึกษาไม่ให้ถือว่าขาดเรียน โดยการฟื้นฟูจะมีการอบรมทั้งทางโลก และทางธรรม อาจนำตัวเด็กไป บำเพ็ญประโยชน์ที่โรงพยาบาลเพื่อให้เด็กเห็นถึงความเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมาน หากไปทำร้ายเขา การส่งเด็กและเยาวชนไปฝึกจิต ฝึกสมาธิ และการส่งตัวเด็กและเยาวชนไปดูงานราชทัณฑ์ หากต้องถูกควบคุมตัว ถูกขัง ถูกจำกัดอิสรภาพจะมีความรู้สึกเช่นใด ทั้งนี้เป็นแนวทางแก้ไขเชิงจิตวิทยาควบคู่ไปกับแนวทางกฎหมาย” 

หากเด็กและเยาวนั้นสามารถเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูได้สำเร็จตามเงื่อนไขที่กำหนด ก็ให้ถือว่า เด็กและเยาวชนนั้น ไม่ได้กระทำผิดและพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิดไป

แต่ถ้าไม่ผ่านการประเมิน ก็ให้นำเด็กและเยาวชนนั้น เข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีอาญาต่อไป

 

ผู้เขียนได้นำเสนอหลักการนี้ไว้ในปี ๒๕๔๕ แต่ไม่น่าเชื่อว่า ต่อมา พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยานและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓ มาตรา ๘๖ มาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญา (แผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูโดยผู้อำนวยการสถานพินิจ) และมาตรา ๙๐ (แผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูโดยศาลสั่ง) มีหลักการคล้ายกับ แผนฟื้นฟูเด็กและเยาวชน ที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้ในปี ๒๕๔๕  

 

(๓) ผู้เขียนเสนอให้นำบทบัญญัติ แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนฯ พ.ศ. ๒๕๓๔  

 มาตรา  ๖๑ วรรคสอง มาบังคับใช้อย่างจริงจัง

 

“ในกรณีเด็กและเยาวชนกระทำผิดที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินกว่า ๕ ปีขึ้นไป      หากศาลเยาวชนฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า มีเหตุอันควรโอนคดีไปยังศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีธรรมดา  ก็ให้ศาลเยาวชน โอนคดีไปยังศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีธรรมดาได้

แต่หากศาลเยาวชน เห็นว่ายังไม่สมควร ก็ให้ศาลเยาวชนพิจารณาไปตามอำนาจหน้าที่ 

 

และต่อมา พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓ มาตรา  ๙๗ วรรคสอง ก็ได้บัญญัติในหลักการเดียวกัน คือ

คดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัว ถ้าศาลเยาวชนฯพิจารณาโดยคำนึงถึงสภาพร่างกาย สภาพจิต  สติปัญญาและนิสัยแล้ว เห็นว่า ในขณะกระทำผิดหรือในระหว่างการพิจารณา เด็ก หรือเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำผิดมีภาพเช่นเดียวกับบุคคลที่มีอายุตั้งแต่สิบแปดปีบริบูรณ์ขึ้นไป ให้มีอำนาจโอนคดีไปพิจารณาในศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีธรรมดาได้ ”

 

แสดงว่า หลักการโอนคดีเด็กและเยาวชนไปพิจารณาที่ศาลคดีธรรมดา หรือศาลผู้ใหญ่มีมานานแล้ว แต่กลับไม่ค่อยได้นำหลักการโอนคดีไปใช้กับ เด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมก่อเหตุด้วยความรุนแรง โดยยังคงยึดติดกับ ความเป็นเด็ก และเยาวชน”  

 

นับวันความรุนแรงของการกระทำผิดของเด็กและเยาวชนยิ่งจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ไม่แพ้หรืออาจจะมากกว่าผู้ใหญ่กระทำผิดเสียด้วยซ้ำ แต่บทกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดของเด็กและเยาวชนจะเป็นไปในแนวทาง มุ่งแก้ไขมากกว่าการลงโทษ” จึงเกิดการไม่เข็ดหลาบ และไม่หลาบจำ เด็กทำผิด แต่กลับไม่ได้รับการลงโทษเท่าที่ควร 

แท้จริงแล้ว...ศาลถูกจำกัดดุลพินิจในการกำหนดโทษสำหรับเด็กและเยาวชนจริงหรือ ?

ผู้อ่านคงได้รับคำตอบแล้ว

 

การรักษาดุลภาคระหว่าง การลงโทษเด็ก และ “การแก้ไขเด็ก และ “การได้รับการเยียวยาของผู้เสียหาย” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้เขียนเห็นว่าจะเป็นทางออกสำหรับปัญหาเรื่องนี้

 

 

***นายวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์

อัยการศาลสูงจังหวัดสมุทรปราการ

(อดีต) รองประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร