"เศรษฐา" นั่งหัวโต๊ะคุมศึกษาแนวทางดำเนินการตามนโยบายแจกดิจิทัล 1 หมื่นบาท รมช.คลัง มั่นใจได้ข้อสรุปภายในเดือนต.ค.นี้ และเริ่มใช้ได้ตามเป้าหมาย 1 ก.พ. ปีหน้า ส่วนพื้นที่ใช้จ่ายจะขยายให้กว้างกว่า 4 ตารางกิโลเมตรแน่นอน
วันที่ 3 ตุลาคม 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เกี่ยวกับโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ว่า ที่ประชุมเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการตามนโยบายโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ประกอบด้วย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รองประธาน 4 คน มี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ , นายปานปรีย์ พหิธานุกร รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ , นายอนุทินชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย , นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)
กรรมการ ประกอบด้วย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง , นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง , ปลัดกระทรวงดีอีเอส , ปลัดกระทรวงมหาดไทย , ปลัดกระทรวงพาณิชย์ , ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการและเลขานุการ , ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) , เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) , ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา , อัยการสูงสุด และ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
"คาดว่าจะมีการประชุมคณะกรรมการครั้งแรกในวันที่ 5 หรือ 6 ตุลาคมนี้ และจะได้ข้อสรุปเบื้อต้นถึงแนวทางดำเนินการภายในเดือนตุลาคม โดยมีเป้าหมายให้เริ่มโครงการได้ตั้งวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 โดยคณะกรรมการมีหน้าที่พิจารณาทุกด้านให้ครอบคลุมที่สุด ทั้งกรอบงบประมาณ แหล่งที่มาของงบประมาณ กลไกการดำเนินการต่าง ๆ รวมถึงติดตามและตรวจสอบปัญหาและอุปสรรคของนโยบาย กลไกป้องกันการทุจริต และการสรุปผลสัมฤทธิ์ของโครการ" นายจุลพันธ์ กล่าวพร้อมยืนยันว่า โครงการนี้ไม่มีอะไรขัดกับพ.ร.บ.เงินตรา และรัฐบาลจะนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในโครงการแน่นอน เพราะเป็นกลไกที่มีความปลอดภัยสามารถตรวจสอบได้ไม่มีเทคโนโลยีใดที่โปร่งใสเท่านี้อีกแล้ว และจะไม่มีการเพิ่มเพดานหนี้ตามมาตรา 28 เป็น 45% ตามที่มีกระแสข่าวออกมา เพราะรัฐบาลไม่ได้มีปัญหาเรื่องแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการ
ส่วนกรอบพื้นที่ใช้เงินนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยอมรับว่า มีแนวคิดจะขยายพื้นที่ให้กว้างกว่า 4 ตารางกิโลเมตร แต่จะเป็นเท่าไหร่ต้องพิจารณากันอีกครั้ง หลักการคือรัฐบาลต้องการสร้างพายุเศรษฐกิจให้หมุนกระจายทั่วประเทศไม่ใช่แค่หมุนอยู่ในตัวเมืองใหญ่